วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2552

เรียนรู้ชีวิต เพื่อพัฒนาด้านใน

ตลอดเวลา 4 เดือนที่มาเรียนจิตตปัญญาศึกษา มีหลายๆคน ทั้งคนข้างตัว ลูก ญาติมิตร เพื่อนฝูง เพื่อนร่วมงาน และคนรู้จัก ถามอยู่เสมอว่าเรียนอะไร? เพื่ออะไร? จะได้อะไร? เอาไปทำอะไร? ใช่สิ่งที่ชอบ อยากทำหรือเปล่า? คำถามจากคนที่ห่วง หวังดี กลัวว่าเราจะเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ ทำให้ต้องกลับมาสำรวจดูตัวเองว่า ได้อะไรบ้าง?

เริ่มจากการจัดการในเรื่องการเรียนการสอน เห็นเขาทำ 3 เรื่องใหญ่ๆ
1 จัดการสร้างพื้นฐานและสิ่งแวดล้อมสำหรับการเรียนการสอน สร้างหลักสูตรโดยแต่ละวิชาพยายามเสริมซึ่งกันและกัน สร้างมาตรฐานในการคัดเลือกกลุ่มผู้เข้ามาเรียนรู้ร่วมกัน จัดสภาพแวดล้อมในการเรียนรู้ รวมทั้ง infrastructure ต่างๆอย่างพร้อมพรั่ง และเปิดพื้นที่เรียนรู้ที่ทำให้พวกเรารู้สึกปลอดภัย

2.สร้างชุมชนเรียนรู้ โดยการให้เกิดการตระหนักรู้ เกิดความไว้วางใจ เกิดสายสัมพันธ์ มิตรภาพระหว่างอาจารย์และกลุ่มผู้เรียน..ที่นี่ เคารพในศักยภาพของผู้เรียน พยายามให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง

3. ที่นี่อาจารย์ทำหน้าที่ facilitator, coach, counselor, helper อจารย์ต้องใช้ทักษะการฟัง ถาม สื่อสาร ท้าทายให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทักษะของอาจารย์คล้าย coach นะ คือต้องวางแผน ตั้งเป้าหมาย สนับสนุนให้แลกเปลี่ยน เรียนรู้ พัฒนา และเติบโตทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ

เวลาเรียนรู้เราเรียนกันแบบเปลือยใจ เปลือยตัวตน รู้สึกว่า "ปอกหัวหอม" ลอกออกทีละชั้นๆ บริบทต่างๆที่พวกเรา ผู้เอาตัวตนมาเรียนรู้ได้ทำ ได้ฝึกฝน คือการฟัง dialogue อ่าน ใคร่ครวญ ค้นคว้า วิจัย หาองค์ความรู้ ปฏิบัติ มีโครงงานที่ท้าทายให้เราทำทั้งงานเดี่ยว งานคู่ งานกลุ่ม มีปัญหามาให้ฝึก มี reflection ซึ่งพวกเราใช้ทั้งพูด เขียน journal เขียนใน mail group เขียน blog ตามถนัด

ตอนนี้ ถ้าจะถามคำถามว่า..
เราได้เรียนองค์ความรู้อะไรบ้าง?..เยอะ
สิ่งที่ได้รับตรงกับเป้าหมายในใจหรือไม่ อย่างไร?
เราได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองบ้าง? เรารู้สึกอย่างไร?
การเรียนสะท้อนความเป็นตัวเราในชีวิตจริงอย่างไร?

ทั้งหมดนี้ยากที่จะเขียนออกมาในเวลานี้ เราต้องเดินทางไกล ฝึกฝนอีกนาน...

4 เดือนที่ผ่านมา เราเดินบนเส้นทางสายนี้โดยเลือกกระโจนลงน้ำ ปล่อยตัวเองไปตามกระแส เผชิญความรู้สึก คลื่นอารมณ์ รู้สึกงงงวย หลงทาง ไม่แน่นอนกับอนาคต ใช่หรือไม่ใช่ แต่ก็เปิดรับ ไม่คาดหวัง เพราะนี่คือการเรียนรู้ด้วยชีวิต..บางทีก็รู้สึกยากที่จะยอมรับ เหนื่อยที่จะเผชิญ..แต่ก็พูดได้ว่า เรารู้จักตัวเองทั้งด้านที่ดีและไม่ดีมากขึ้น ได้ปรับโลกทัศน์ที่มีต่อตนเอง ผู้อื่น เปิดมุมมองมิติใหม่ และการปฏิบัติภาวนานั้น ก็ทำให้รู้สึกถึงคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน รู้สึกถึงชีวิตที่เรียบง่าย ธรรมดา..

เราว่า..เรียนที่นี่แล้ว หลักๆ เราได้เรียนรู้ชีวิต รู้จักตัวตนของเรา รู้จักอดีต ยอมรับตัวตนของเรามากขึ้น เปิดกว้าง เราฝึกอยู่กับปัจจุบัน..เรารู้สึกถึงอิสรภาพ..ได้พัฒนาด้านใน และ..พร้อมที่จะก้าวต่อไป

"จิตบริสุทธิ์ ไม่ขัดกัน" คำสอนของพระอาจารย์สุจินต์ สุจิณโณ

ในระหว่างวันที่ 15-17 ก.ย.เรากับเพื่อนๆ และอาจารย์ได้รับความเมตตาจากพระอาจารย์สุจินต์ สุจิณโณ วัดหนองน้ำเขียว อ.แม่สอด จ.ตาก มาสอนเฉพาะกลุ่มของศูนย์จิตตปัญญา ที่อริยธรรมสถาน พระอาจารย์ให้หนังสือเล่มหนึ่งชื่อ “จิตบริสุทธิ์ ไม่ขัดกัน”

ท่านให้นั่งภาวนา ถ้าเผลอ/เพ่ง ท่านสอนว่า “ให้สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน ให้รู้เท่าทันอาการของจิต” ให้สลับเดินจงกรมบ้าง และยังให้คำแนะนำเฉพาะตัวว่า "ให้เริ่มทำสมาธิ วิปัสสนาตามแนวท่านอาจารย์โกเอ็นก้าเพื่อให้สงบเกิดสติ มีกำลังเพียงพอ หลังจากมีกำลังเพียงพอแล้ว ให้ดูจิต เฝ้าตามดูจิต อย่าส่งจิตออกนอก ดู เกิด-ดับ เห็นการเกิด-ดับของความคิด อยู่กับปัจจุบัน ดูไปง่ายๆ รู้เฉยๆ สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน จิตบริสุทธิ์-ไม่ส่งออกนอก ไม่หวั่นไหว ไม่กระเพื่อม มีสติ เวลาฟุ้ง ให้กลับมาหาสมาธิ หรือเหนื่อยก็กลับมาที่สมาธิ แล้วพัก ได้กำลังแล้วไปดูจิต เดินปัญญาต่อ"

การปฏิบัติกับพระอาจารย์สุจินต์ ทำให้เข้าใจและเชื่อมโยงแนวทางต่างๆที่ได้เรียนมาตลอด ทั้งการบำเพ็ญศีล ฝึกสมาธิแบบสมถะ
ฝึกวิปัสสนา เพื่อทำสติให้รับรู้สิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง และฝึกดูจิต ตอนนี้สามารถเชื่อมโยงการฝึกวิปัสสนาและดูจิต รู้จักวิธีเริ่มต้นปฏิบัติให้ใจสงบแล้วดูจิต เกิด-ดับ รู้จักกลับมาพัก สะสมกำลัง หลวงพ่อบอกว่าทำเท่าที่ทำได้ ทำแล้วต้องมีความสุข ไม่ใช่ทุกข์ หรือเครียด

การเรียนปฏิบัติภาวนาครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายในเทอมนี้ การเรียนทั้งหมดทำให้ได้พบคำตอบ และได้พบวิธีปฏิบัติที่ถูกจริตของตัวเอง ต้องขอบคุณครูบาอาจารย์ที่คัดสรรสิ่งดีๆมาสอนพวกเรา...

ฝึกดูจิตที่สวนสันติธรรม

ระหว่าง 26-30 สิงหาคม 2552 เรากับเพื่อนๆไปปฏิบัติธรรมที่สวนสันติธรรรม เราไปพักใกล้ๆคือที่หิ่งห้อยชาเล่ต์ ไปวัดฟังหลวงพ่อปราโมทย์เทศน์สดๆครั้งแรก ตื่นเต้นมาก ได้รับรู้ถึงความเมตตาของหลวงพ่อ มีหลายคำถามคำตอบที่ถูกใจ หลวงพ่อพูดจากใจเลยสดๆ โดยไม่ต้องมีเตรียมอะไร สอนจากแก่น จากใจ จริงใจ ง่ายๆ

การมาที่นี่ หลวงพ่อปราโมทย์ได้ให้หลักการปฏิบัติที่ซื่อๆ ง่ายๆ แต่ต้องหมั่นทำ รู้สึกว่าได้พบวิธีปฏิบัติที่ทำได้ในชีวิตประจำวัน ไม่ต้องหาเวลาปฏิบัติ แต่ก็ต้องไปฟังเทปเพิ่ม และปฏิบัติไปเรื่อยๆหลวงพ่อสอนเยอะแยะ ที่โดนใจมากๆคือ “เกิดมาชาติหนึ่งทำไมต้องมีความทุกข์ เรามีโอกาสศึกษาธรรม ต้องรู้ว่าอะไรมีสาระ ไม่มีสาระ อยู่ยังไงให้ทุกข์น้อยลง อยู่อย่างไรให้มีความสุข สิ่งที่มีสาระจริงๆ ไม่ใช่อยู่ตามโลกไปวันๆ คือการพัฒนาจิตวิญญาณของเรา การปฏิบัติธรรม ทำให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้นเรื่อยๆ”

วันสุดท้ายที่ไปนั่งฟังหลวงพ่อเป็นวันที่ส่งการบ้าน หลวงพ่อสอนว่า อย่าวาดภาพการปฏิบัติว่าต้องทำอะไรที่ยากๆ การปฏิบัติไม่ต้องทำอะไรมากกว่าการรู้ รู้กายอย่างที่กายเป็น รู้ใจอย่างที่ใจเป็น ใจมัวก็ให้รู้ว่ามัว อยากให้ใจใสก็ให้รู้ว่าอยาก ง่ายสุดๆ เต็มไปด้วยเหตุด้วยผลเหมือนเดินไปชนกำแพงก็รู้ว่าหัวโน แค่นี้เอง

ครูบาอาจารย์บอกว่าจะเรียนรู้อะไรสักอย่าง ต้องเอาตัวลงไปปฏิบัติ เป็นอย่างนี้นี่เอง..เราต้องรู้จักตัวเองว่าเราเป็นคนอย่างไร เลือกปฏิบัติให้ตรงตามจริต ให้สบายใจ ปฏิบัติแล้วดี สบายๆ แจ่มใส…วันนี้ได้มาถึงคำว่า “เรียนรู้” คือเรียนจากการปฏิบัติ ไม่ใช่เรียนความรู้ เรียนด้วยการเอาตัวลงไปทำจริงแล้วมาดูใจว่าเป็นอย่างไร ใคร่ครวญ สังเกตภายในตัวเองแล้วสะท้อนออกมา..เราหวังว่าจะมาถูกทางถูกจริต สามารถฝึกแนวดูจิตและเดินบนเส้นทางสายนี้ต่อไป…

ใครที่สนใจแนวดูจิต ศึกษาข้อมูลเพิ่มได้ที่ http://www.wimutti.net/pramote/
หรือ http://wiz.wimutti.net/
หรือ บ้านอารีย์: http://www.baanaree.net/media/index.php

วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ฝึกสติ ณ สวนพุทธธรรม อยุธยา

อาทิตย์ที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 27-29 ก.ค.ศูนย์จิตตปัญญาฯพาไปเรียนรู้ตนเองที่สวนพุทธธรรม อยุธยา ได้รับความกรุณาจากท่านอาจารย์คุณแม่อมรา สาขากร ท่านพูดว่า "ตอนนี้คุณไม่ต้องจด ไม่ต้องทำอะไร ฟังอย่างเดียว" ท่านให้ฟัง และตามย้อนดูใจ ตามรู้ตัวเองตามหลักพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ผ่านการบรรยาย ยกตัวอย่าง ประสบการณ์ชีวิตจริง และกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ เช่นระดมสมอง สะท้อนการเรียนรู้ของผู้เรียน ออกกำลังกาย เกมส์ทดสอบ การเดินทางไกล การทำสมาธิ

ช่วงเวลาวันแรกได้พบว่าตัวเองใช้ชีวิต ทำงาน และเรียน โดยลืมยึดหลักศีล สมาธิ ปัญญา ตามที่ได้เรียนรู้จากคุรุหลายๆท่าน บางครั้งก็คิดมากไป แม้แต่เรื่องง่ายๆในชีวิต เรื่องการหาความสุขในปัจจุบัน ก็ไม่ได้ "ใช้ใจ" ในการหาความสุข พอกลับมาใช้ใจมากขึ้น ความสุขมันก็อยู่ในตัวเราตลอดเวลาอยู่แล้ว เรามี เราอยู่กับความสุขในแบบของเรา แต่กลับไม่รู้ตัว มัวแต่ไปคิด ตามหาความสุขนอกตัว ใช้เวลากับนิยามของความสุข สร้างรูปแบบ ตั้งเป้าหมาย วางแผน ทำสิ่งต่างๆเพื่อกาความสุขบนความสำเร็จรูปแบบต่างๆ แต่ที่แท้เรามีพอพอเพียงแล้ว นอกจากใช้ใจ คุณแม่ยังสอนเรื่องการกราบพระอย่างมีความสุข การแปรงฟันอย่างมีความสุข

กิจกรรมที่ประทับใจในวันที่สองคือการเดินอย่างมีสติ ตามรู้ตัวเอง โดยการเดินแถวเรียงหนึ่งจากสวนพุทธธรรมไปและกลับตลาดบางปะหัน ระยะทางทั้งหมดกว่าห้ากิโล โดยมีกฎกติกาว่า ห้ามทุกคนพูดคุยกัน...ระหว่างทาง ดังนั้นหกโมงเช้า พวกเราเริ่มออกเดินแถวเรียงหนึ่งผ่านบ้านเรือน เป็นบ้านไม้สมัยเก่าบ้าง บ้านสมัยใหม่บ้าง ผ่านวัด โรงอิฐ ร้านค้า...เดินมองข้างทางและคิดไปเรื่อยๆ คิดถึงบ้านที่ต่างจังหวัด เห็นดอกไม้ที่ปลูกตามต่างจังหวัด ดอกชบา ดอกเข็ม เห็นวิถีชีวิตของคนในชุมชนตอนเช้า คนหนุ่มสาวไปทำงาน เด็กๆไปโรงเรียน คนแก่นั่นถางหญ้า บางกลุ่มจับกลุ่มคุยกันบ้าง ทานกาแฟบ้าง มีเสียงนกร้อง จิ้งหรีดร้อง มีหมาเห่าพวกเราตลอดทาง และลมเย็นพัดโชยตลอดทาง สิ่งที่เห็นคือชาวบ้านซึ่งเดี๋ยวนี้ขับรถ ขี่มอเตอร์ไซด์กันทั้งนั้น ไม่ค่อยมีคนเดินอย่างเรา และ..เวลาชาวบ้านเห็นพวกเรา เขาไม่ได้รู้สึกว่าพวกเราที่เดินผ่านนั้นเป็นเรื่องแปลก อาจเนื่องจากคุณแม่อมราท่านจัดกิจกรรมบ่อยครั้งแล้วจนชาวบ้านเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา ที่ตลาดพวกเราเริ่มหาพลาสเตอร์ยา บางคนซึ้อถุงเท้า รองเท้าแตะ พวกเราล้วนอดทนในสิ่งเดียวกันคือถูกรองเท้ากัดซะถลอกปอกเปิก เจ็บไปหมด แต่..เราก็ผ่านมันมาได้ กิจกรรมนี้ทำให้ได้พบว่า "เรามองดูทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว แต่บางครั้งลืมมองดูใจตัวเอง" บางทีเราก็กลับไปในอดีต คิดถึงอนาคต มองดูคนอื่นๆ สิ่งอื่นๆรอบๆตัว คิด..อยาก..และฟุ้ง...จนไม่ได้หันกลับมามองดูที่ตัวเอง อยู่กับใจตัวเองบ้าง กิจกรรมวันนี้ สอนให้รู้เรื่องสำคัญคือ "สติ"

วันที่สามเป็นวันที่ปลดปล่อยตัวเองไปบ้าง ได้ฟังแก่นคำสอนเรื่อง "รู้" และได้เข้าใจความแตกต่างระหว่าสติสามัญกับมหาสติที่ตั้งอยู่บนหลักศีล สมาธิ ปัญญา ได้เห็นถึงความฟุ้งซ่าน หมกหมุ่น เครียด คิด จ้อง จม เผลอ ใจลอย ดังนั้นจึงตั้งใจว่าจะนำสิ่งที่ได้รับทั้งหมดนี้มาฝึกปฏิบัติ ย้อนกลับมา "รู้ตัวเอง" เตือนสติตัวเอง ในขณะที่ทำงานตามบทบาทหน้าที่ต่างๆในชีวิต ถึงแม้ว่าการรู้เท่าทันตนเอง การมีสติเป็นสิ่งที่ยังห่างไกล...ก็คงต้องฝึกฝนต่อไป...เพราะคุณแม่อมราสอนว่า "คนดีก็มีทุกข์ ชีวิตคนเรา จึงต้องฝึกสติให้ใจผ่องใส"

วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ฝึกสติ ณ วัดญาณเวศกวัน

การเปิดเรียนจิตตปัญญาฯ เริ่มด้วยการใช้เวลาระหว่าง 25-27 พ.ค.ที่วัดญาณเวศกวัน หลังพุทธมณฑล เวลา 3 วัน 2 คืน ที่วัดญาณฯนั้น ได้รับความเมตตาจากพระอาจารย์ครรชิต คุณวโร ท่านกรุณาสอนความจริงที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ท่านสอนเรื่องการสร้างสุขภาพแบบองค์รวมแนวพุทธ การศึกษาและชีวิตประเสริฐ ไตรสิกขา ขันธ์ 5 อายตนะ 6 ไตรลักษณ์ ปฎิจจสมุปบาท และฝึกประสบการณ์จริงในการตามรู้ ตามดูลมหายใจ รู้การเคลื่อนไหว เดินจงกรม ทำสมาธิ วิปัสสนา ด้วยความที่ทิ้งมานาน ทำไม่ค่อยดีนัก แต่สิ่งที่ได้คือผ่อนพัก และเรียนรู้ถึงความไม่ค่อยนิ่ง คิดฟุ้งไปเรื่อยเปื่อยของตัวเอง

พระอาจารย์ครรชิต ท่านมีเมตตาสอนง่ายๆ พูดและยกตัวอย่าง เล่าเรื่องราวประกอบให้เข้าใจง่าย ทำให้คนที่อยู่กับทางโลกมาตลอดได้เรียน ได้ฟังแล้วเข้าใจได้ นำไปฝึกตนได้ต่อเนื่อง

วัดญาณเวศกวัน ตั้งโดยท่านอาจารย์ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต)มีความหมายที่แสดงถึงจุดหมายแห่งการบำเพ็ญศาสนกิจของวัดว่ามุ่งเน้นให้เป็นแหล่งศึกษาค้นคว้า เพื่อเสริมสร้างความรู้ในพระธรรมวินัย และปฏิบัติให้เจริญธรรมเจริญปัญญา ตลอดจนบรรลุญาณสูงขึ้นไปตามลำดับ

สถานที่ของวัดญาณฯดีมากๆ สงบเงียบ สวยงาม อยู่ใกล้กรุงเทพฯ ขับรถสะดวก มีห้องสมุดใหญ่โตชื่อ หอสมุดญาณเวศก์ธรรมสมุจย์ บุคคลทั่วไปเข้าค้นคว้าหาความรู้ นั่งทำงานได้ด้วย

ข้อมูลเพิ่มเติมหาได้ที่: http://www.watnyanaves.net/

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

จิตตปัญญาศึกษา...เรียนรู้ด้วยใจ

หลายๆคน คงเป็นเหมือนกัน คือชอบอ่านหนังสือประเภท How to และตอนนี้แนวที่ดังมากๆคือเรื่องของความสุข ในบ้านเมืองฝรั่งมีหนังสือออกมามากมายเกี่ยวกบเทคนิค วิธีการต่างๆที่จะตามล่าความสำเร็จ และบางเล่มก็เน้นเรื่องให้มีความสุขตลอดเวลาที่เราเดินทางไปสู่ความสำเร็จในชีวิต ในบ้านเราก็มีหนังสือประเภทนี้ หนังสือแปลก็มากมาย และที่น่าสังเกตคือมีหนังสือธรรมะมากมายในตลาด โดยรวมแล้วบ้านเมืองของเรา และโลกของเรากำลังลดเรื่องวัตถุลงและพูดกันเรื่องความสุข เรื่องการอยู่กับธรรมชาติมากขึ้น

โดยอาชีพที่ต้องใช้ความรู้ในการสอน การทำงาน และด้วยความชอบส่วนตัวรักการอ่านหนังสือ ดังนั้นศาสตร์ตะวันตกและตะวันออกจึงมาตีกันยุ่งขิงในหัว ทำยังไงถึงจะเห็นภาพที่ชัดเจนของเรื่องเหล่านี้ดีนะ...ดังนั้น เราจึงเดินตามหัวใจไปหาคำตอบของการพัฒนาในตน ทำยังไง คิดยังไง ถึงเรียกว่า "ทำตัวให้เล็กลง เพื่อที่จะทำงานใหญ่อย่างมีความสุขและความสำเร็จ"

Soul mission ในครั้งนี้ เป็นการเรียนรู้ด้วยใจ การบ่มเพาะวิถีชีวิตที่เรียบง่ายงดงาม วันนี้..เรามาเรียนรู้ที่มหิดล กับคุรุมากหลาย เรียนร่วมกับเพื่อนหนึ่งโหล โดยที่เรามี Life vision ต้องทำไปพร้อมๆกันคืองานใหม่ที่เรียกตัวเองว่า Coach และ Facilitator มุ่งเน้นด้านความสุขและความสำเร็จ

ตอนนี้ถ้าจะทำความรู้จักกับศูนย์จิตตปัญญาศึกษา ต้องตามไปที่:http://www.ce.mahidol.ac.th/
หรือ อ่านเรื่องราวของจิตตปัญญาศึกษา: http://jittapanya.blogspot.com/

โกเอ็นก้า กับ การเรียนรู้ทางจิตวิญญาณ


เดือนสิงหาคม 2550 เป็นครั้งที่สองของการปฏิบัติธรรม วันแรกที่ออกเดินทางสู่ปราจีนบุรี ใจก็เริ่มคิดว่าจะไหวมั้ยหนอ แต่ครั้งเห็นชาวต่างชาติหลายคน เห็นเด็กวัยเรียนมหาวิทยาลัย วัยเริ่มต้นชีวิตการทำงานมาเข้าอบรมด้วย ก็ทำให้น้อมนำใจให้ระลึกถึงคำตอบของชีวิต การที่เป็นคนมีราก การปฏิบัติภาวนา ย่อมมีคุณแก่ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างไม่ต้องสงสัย

ช่วงแรกของการฝึกอานาปานสติ รู้สึกจิตใจไม่สงบเลย พอวันที่เข้าสู่วิปัสสนาภาวนารู้สึกปั่นป่วนเร่าร้อน เหมือนกำลังอยู่ในสมรภูมินรก เวลาที่นอนคนเดียวก็จะกลัวเพราะเขาให้ถอดพระออก ซึ่งโดยปกติมักมีพระแขวนติดตัวตลอดเวลา กลางคืนก็นอนไม่หลับ ฝันถึงญาติโยมที่เสียไปแล้ว ตื่นดี 4 เพื่อฝึกปฏิบัติท้งวัน แรกๆอยากกลับบ้านมาก ได้แต่โอดครวญ โอ้ชีวิต...ทำไมมันทรมานจัง

เวลาที่ผ่านไป วันที่ 8 วันที่ 9 รู้สึกดีขึ้น กลับกันมาก เห็นความดี ความงามรอบๆตัว ช่วยทำความสะอาดรอบๆบริเวณได้อย่างมีความสุข แจ่มใส สามารถทำเมมตาภาวนา และดื่มด่ำกับร่างกายและจิตใจที่ผ่อนคลายได้ ตอนนี้สิ่งที่รู้สึกเหมือนเกิดใหม่และได้ค้นพบบางอย่างในตัวเองเป็นสิ่งที่ติดตัวเรามาแต่เราไม่เคยนำมันออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์

สิ่งดีๆที่ได้รับจากโกเอ็นก้ายังคงติดตัวมาจนทุกวันนี้ ถ้าวันนั้นไม่ได้เข้าอบรม ก็คงจะพลาดสิ่งสำคัญสิ่งหน่งในชีวิตไปอย่างน่าเสียดาย

ขอบคุณคุรุทุกท่านและเจ้าหน้าที่ทุกคนที่มารับใช้ธรรมะ ทำให้มีสิ่งดีๆเกิดขึ้นในบ้านเรา

ข้อมูลเพิ่มเติม: http://www.thai.dhamma.org/